วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Bloody Tini

สวัสดีครับผม ฝนตกแดดออกกันเป็นว่าเล่นในช่วงนี้ ออกไปข้างนอกต้องดูฟ้าดูฝนกันด้วยนะครับในช่วงนี้ ยิ่งถ้าต้องเดินทางต่างจังหวัดด้วยแล้ว วางแผนการเดินทางกันนิดนึงครับผม และทั้งรถและคนก็ต้องพร้อมด้วยเช่นกัน และก็ขอย้ำกันเหมือนเดิมครับผม ขับรถอย่างมีสติ ไม่ประมาท และปราศจากแอลกอฮอล์ครับผม บล็อคนี้นำเสนอการทำเครื่องดื่มเอาไว้ดื่มเองที่บ้านครับผม และก็อยากให้มันเป็นเช่นนั้น
เอาล่ะครับผม เมื่อสองบทความก่อนหน้านี้ ผมได้พูดถึงเรื่องราวของ Bloody Mary และ Martini กันไปบ้างแล้ว แต่ว่าเรื่องราวของเจ้าเครื่องดื่มสองตัวนี้ก็ยังไม่หมดนะครับผม แต่ว่าเราคงจะไม่ไปลงในรายละเอียดกันซะจนทำให้คนอ่านบล็อคขี้เกียจอ่านนะครับ ก็เลยเอาแบบคร่าวๆ กันก่อนดีกว่า จากท้ายบทความของ Martini ผมได้ทิ้งท้ายเครื่องดื่มท้ายบทไว้ว่าจะกลับมาบอกว่ามันคืออะไร วันนี้ก็เลยจะกลับมาต่อบทความนั้นให้เสร็จและก็มีของแถมจากหมวด Bloody Mary แต่ว่ามาในรูปของ Martini อย่าพึ่งงงกันครับผม ดูต่อไปครับเดี๋ยวรู้
Kiwi Martini

แก้วนี้ขอตั้งชื่อให้มันว่า Kiwi Martini ก็แล้วกันครับผม เพราะว่าส่วนผสมหลักของมันก็คือ เจ้าKiwi นี่เองครับผม เครื่องดื่มแก้วนี้ก็จะออกแนว หวานๆ ซ่อนเปรี้ยวนิดๆ แต่ว่าก็ได้รสชาดความแรงของแอลกอฮอล์จาก Rum ที่เป็นแอลกอฮอล์หลักตัวเดียวที่ใช้ในการผสมเครื่องดื่มแก้วนี้ มาดูส่วนผสมทั้งหมดกันครับ
Kiwi Martini
Bacardi White Rum     3     Oz
Kiwi fruit     1      pcs.
Lime Cubes     1/2     pcs.
Sugar Syrup      1/2     Oz
ก่อนอ่ื่นเลยก็เร่ิมจากการเตรียมเจ้าผล Kiwi ของเราโดยการปอกเปลือกให้เรียบร้อย ถ้าลูกใหญ่ก็ให้ตัดส่วนหัวไว้สำหรับทำการตกแต่งปากแก้ว ไว้ก่อนแล้วค่อยนำที่เหลือมาทำเครืื่องดื่ม แต่ว่าถ้าลูกเล็กก็ต้องใช้ทั้งลูกแล้วค่อยนำอีกลูกมาทำการตกแต่งปากแก้วเพื่อความสวยงาม ส่วนมะนาวนั้นแนะนำว่าให้หั่นแบบลูกเต๋า จะได้บดให้น้ำออกมาได้ง่าย หลังจากได้ของครบแล้ว ก็นำKiwi ที่เตรียมไว้และก็มะนาวใส่ลงใน Shaker ตามด้วยน้ำเชื่อมแล้วก็ทำการบด [muddle] พอให้ผล Kiwi ละเอียดนิดหน่อยและมีน้ำออกมาจากผลไม้ทั้งสองอย่างครับ จากนั้นเติมน้ำแข็งแล้วก็ตามด้วย Bacardi หรือจะใช้ Rum ยี่ห้ออะไรก็ได้นะครับผม ทำการเขย่าให้ส่วนผสมเข้ากันดีแล้วก็ใช้ที่กรอง Strainer รินเครื่องดื่มลงแก้ว Martini ถ้าเป็นไปได้ให้แช่แก้วไว้ก่อนให้เย็น ก็จะเป็นการรักษาอุณหภูมิของเครื่องดื่มให้เย็นสดช่ืนได้เพิ่มขึ้นอีกนิดนึง และที่สำคัญมันดูดีด้วยแหละเวลาที่แก้วมันเย็นน่ะ เหมือนด่ืมเบียร์นะแหละครับผม  แก้วเรายังแช่ตู้ไว้เลย
เสร็จแล้วก็ประดับปากแก้วอีกนิดด้วย Kiwi Wheel ที่เราเตรียมไว้ เป็นอันเสร็จครับผม ง่าย อร่อย สดช่ืน แต่รับประกันว่าเมาแน่นอนครับ

มาดูตัวต่อไป ตัวนี้ค่อนข้างจะแปลกแต่รับรองว่ายังไม่เคยเห็นที่ไหนทำหรือว่าถ้ามีก็คงยังไม่มากเพราะว่ายังไม่ค่อยเคยเห็นเลย เครื่องดื่มตัวที่ว่าก็คือ Bloody Mary ครับ แต่ว่าเรามาทำการแต่งตัวให้มันใหม่ก็แค่นั้นเองครับผม คนส่วนใหญ่ดื่ม Bloody Mary กันในรูปแบบของ Cocktails ที่มาในแก้ว Hi Ball หรือว่าแก้ว Cocktails ทรงต่่างๆ วันนี้เราก็เลยนำเสนอการดื่ม Bloody Mary แบบใหม่กัน โดยจับมันมาใส่ไว้ในแก้ว Martini ต้องลองดูครับผม ส่วนสูตรและส่วนผสมนั้นก็มีการดัดแปลงกันนิดหน่อย เพื่อความเหมาะสมของหน้าตกและรสชาดครับผม
Bloody Tini

นี่ก็คือหน้าตาของ Bloody tini ครับผม ออกแนวรสชาดจัดจ้านเล็กน้อย เผ็ดนิดๆ แต่่ว่าถ้าใครที่เคยดื่มหรือชอบดื่ม Spicy Bloody Mary อยู่แล้ว เครื่องด่ืมแก้วนี้ก็น่าจะถูกอกถูกใจกันบ้างไม่มากก็น้อยครับผม  ลองมาดูส่วนผสมแลกการทำกันครับ

Bloody Tini
Absolut Vodka     2     Oz
Clamato Juice     1 1/2     Oz
Lime Wedge     3      pcs.
Tabasco     3-5     Dash
Worcestershire Sauce     3-5     Dash
Black Pepper     1/6     Tea Spoon

ครับนี่ก็คือส่วนผสมทั้งหมด และหรือถ้าใครมี Horse Radish ก็เพิ่มเข้าไปอีกนิดนึงก็จะได้อะไรที่เผ็ดร้อนไปอีกรสชาดนะครับผม ฝรั่งไม่ค่อยกินอาหารที่เผ็ด แต่ว่าก็ยังงงกับพวกที่ชอบดื่ม Bloody Mary แบบว่า Spicy กันอยู่พอสมควร บางทีเราทำให้แบบว่า Spicy แล้วนะมันยังมาขอเติม Tabasco เพิ่มอีกเลย แต่ว่าพอเจออาหารไทยที่รสชาดร้อนแรงหน่อยทำเป็นกินไม่ได้ อันนี้ก็งง อยู่นิดๆเหมือนกัน
มาเข้าเรื่องของเราดีกว่าครับผม ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงใน Shaker ได้เลยครับผม ทำการเขย่าพอให้ส่วนผสมเข้ากันดี รินใส่แก้ว Martini ที่แช่เย็นเรียบร้อย แล้วก็ประดับปากแก้วนิดหน่อย ตามรูปหรือว่าจะเพิ่ม Celery Stick อีกซักชิ้นก็ไม่น่าเกลียดครับผม อันนี้ก็แล้วแต่ใครจะรังสรรค์ปั่นแต่งกันครับผม ไม่มีถูกไม่มีผิด เพียงแต่ว่าอย่าเอามาใส่ให้มันผิดหมวดหมู่มากซะเกินไปก็น่าจะโอแล้วครับผม 
เอาล่ะครับผมวันนี้ก็คงนำมาฝากแค่นี้ก่อน แล้วเดี๋ยวกลับมาเจอกันใหม่ครับผม 
Drinks Responsibly
ด้วยความปรารถนาดีจาก "คนชงเหล้า"



วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Bloody Mary

สวัสดีครับผม ตอนนเช้าๆ วันนี้ถ้าใครใช้ Google ในการค้นหาข้อมูลต่างๆ ก็คงจะเห็นอะไรที่ไม่ค่อยจะเหมือนทุกๆวันที่หน้าจอของ Google เป็นแน่แท้ ภาษาที่ใช้ในหน้าแรกของ Google วันนี้ ไม่ได้มีไว้แค่เก๋ๆ หรือว่าทำให้น่าสนใจขึ้นเฉยๆ แต่ว่าวันนี้จริงๆ แล้วมันคือ "วันภาษาไทยแห่งชาติ" ทำไมต้องมีวันนี้กันนะเหรอครับ เพราะว่าคนไทยก็พูดภาษาไทยอยู่แล้วเป็นปรกติ แต่ว่าพักหลังๆ มานี่คนไทยเราเองเสียส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยจะพูดจาภาษาไทยได้ถูกต้องกันเสียเท่าไหร่ครับ อันนี้เกิดขึ้นโดยทั่วๆไปแทบจะทุกภาคส่วน โดยที่เยอะที่สุดก็น่าจะมาจากสื่อ จากหนัง และศัพท์จากเพลง และหรือกลุ่มวัยรุ่นที่คิดคำพูดกันขึ้นมาเองเอง และที่ร้ายที่สุดก็คือภาษาบน Social Media ทั้งหลาย ที่ใช้ภาษากันจนบางครั้ง อ่านจบแล้วก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจว่าผู้ที่โพสต์ข้อความนั้น ต้องการที่จะสื่ออะไรออกมากันแน่่ และอีกหลายๆ เหตุผลครับผม ที่ทำให้เราต้องมีวันนี้ครับผม เพราะฉนั้นต่อไปนี้ใครจะโพสต์อะไร หรือว่าจะส่งข้อความอะไรออกไปให้คนทั่วๆไปได้อ่าน ก็น่าจะทำให้เขาได้เข้าใจด้วยก็น่าจะดีนะ ไม่ใช่แค่ตัวเราเอง จริงๆ แล้วไม่ใช่แค่วันนี้หรอกนะครับผม ถ้าเป็นไปได้เราก็น่าจะใช้ภาษาให้มันถูกต้องตลอดเวลาน่าจะเป็นการดี ทั้งต่อตัวเราเองและผู้อื่นครับผม
เอาล่ะครับผม เดี๋ยวจะนอกเรื่องมากไปกว่านี้ เอาเป็นว่าวันนี้เราจะมาคุยกันเรื่อง Cocktails ตัวที่ชื่อว่า Bllody Mary ว่ามันมีที่มาที่ไปยังงัยและมันมีหน้าตาเป็นอย่างไร คำว่า Bloody Mary นั้นสำหรับคนที่ทำงานโรงแรม หรือว่าทำงานเกี่ยวกับบาร์ ก็คงจะพอคุ้นเคยหรือรู้จักกับมันมากันบ้างแล้ว แต่สำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในวงการ F&B [Food & Beverage] ก็คงอาจจะไม่คุ้นกันนัก เพราะว่า Cocktails ตัวนี้ไม่ค่อยจะได้รับความนิยมกันมากนักในบ้านเรา และแทบจะเรียกได้ว่าในบาร์โดยทั่วไปก็แทบจะไม่มีให้เห็นกันเลย และแทบจะไม่มีบาร์ไหน เอามาทำเป็นเมนูแนะนำเลย ก็ด้วยเหตุนี้ นี่เองมันก็เลยทำให้ชื่อเสียงของมันไม่เป็นที่รู้จักของคนในบ้านเราเท่าไรนัก [แต่ว่าถ้าเป็นฝั่งอเมริกา มันเป็น Cocktails ระดับแนวหน้าเลยนะ เดินไปไหนคนก็รู้จักประมาณนั้น] แต่ถ้าถามคนทั่วไปว่าเคยได้ยิน Cocktails ที่ชื่อ Pina Colada , Margarita มั๋ย ผมเชื่อว่าต่่อให้ไม่ได้ทำงานด้าน F&B คนส่วนใหญ่ก็จะรู้จัก Cocktails นี้กันพอสมควร แล้วทำไมมันน่าสนใจตรงไหนถึงอยากเอามาเล่าสู่กันฟัง ความน่าสนใจของมันสำหรับผมนั้นก็คือ มันเป็นเครื่องดื่มที่ดื่มง่าย รสชาดดี และที่สำคัญมันน่าจะถูกปากคนไทย ที่ชอบอะไรจัดจ้านเผ็ดร้อนกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เอ แล้วเครื่องดื่มอะไรมันจะออกรสชาดแนวนั้น ก็เจ้านี่ที่เรากำลังพูดถึงกันอยุ่นี่แหละครับผม และอีกอย่างที่ขาดไม่ได้ คือว่ามันเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ดื่มแล้วน่าจะได้ประโยชน์มากกว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกตัวเลยก็ว่าได้ มันยังเป็นผู้ช่วยที่แสนดีอีกอย่างสำหรับคนที่ตื่นนอนตอนเช้ามาแล้วยังมีผลกระทบจากงานปาร์ตี้เม่ือคืนอยู่ เจ้านี่ ก็สามารถทำให้หายอาการเมาค้างได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ก็ด้วยเหตุผลต่างๆหลายๆ อย่างที่ยกมาให้ฟังนี่แหละครับผม เจ้า Bloody Mary ก็เลยกลายเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายๆคนเลย
     
Bloody Mary ตอนเช้าๆ ซักแก้ว ก็ดูคึกคักสดช่ืนยังกับได้กาแฟดีๆ ซักแก้วเลยแหละ
Bloody Mary นั้นเกินขึ้นมานานพอสมควรแล้ว แต่ว่าการเกิดของมันนั้นไม่มีหลักฐานการเกิดที่ชัดเจน พูดง่ายๆ ว่าใบสูติบัตรหาย ว่างั้นเถอะ ก็เลยหาอะไรมายืนยันการกล่าวอ้างไม่ได้ว่ามันเกินขึ้นที่ไหนยังงัยกันแน่ บ้างก็บอกว่ามันเกิดขึ้นตอนประมาณ 1921 บ้างก็บอกว่ามันเกิดขึ้นในปีด 1930 ในบาร์ชื่อ New York Bar แต่ว่าเป็นที่ ฝรั่งเศษ แต่ว่าเครื่องดื่มตัวนี้กลับมาได้รับความนิยมเป็นอย่างมากที่ อเมริกา เพราะว่าคนอเมริกันนี่ก็เป็นชาตินิยมที่มีความรักชาติค่อนข้างเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน อะไรที่เป็นของชาติเขา เขาก็จะรักมันอย่างจับจิต จับใจขึ้นมาทันที ก็ดูอย่าง American Whiskey กับ Scotch Whisky ซิ คนทั่วโลกก็ต่างให้การยอมรับ Scotch Whisky ว่าเป็นสุดยอดของน้ำเมา แต่ว่าพี่กันทั้งหลายแหล่ก็ต่างภูมิอกภูมิใจในรสชาดของ Whiskey ที่พวกเขามีอยู่และบอกว่ามันก็คือสุดยอดน้ำเมาของโลกเหมือนกัน แต่ว่าบังเอิญว่าคนที่ชอบมันซะส่วนใหญ่อยู่ที่อเมริกาแค่นั้นเอง [ไม่งงกันนะครับ]
และความน่าสนใจของ Bloody Mary อีกอย่างนอกจากสิ่งต่างๆ ที่ได้บอกไปแล้วก็คือความน่าสนใจของตัวมันเองในแต่ละบาร์นั้น ถ้าคุณลองเดินสายไปดื่ม Bloody Mary จาก 10 บาร์ ผมรับประกันได้เลยว่าคุณจะได้เครื่องดื่มที่ชื่อว่า Bloody Mary นี้ ไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน ไม่เหมือนตั้งแต่ แก้วที่ใช้ ไม่มีกฎตายตัว ไม่เหมือนในส่วนผสม จริงๆ แล้วมันก็แค่ Vodka กับ Tomato Juice แต่ว่ามันยังมีส่วนผสมอื่นที่นำมาปรุงแต่งรสชาดของเครื่องดื่มเช่น Worcestershire Sauce และ Tabasco สองตัวนี้จะขาดไม่ได้ มาดูตัวต่อไปที่เขานิยมนำมาปรุ่งแต่งกันอีก Black Pepper, Celery Salt, Salt, Lime Juice, Horse Radish และอื่นๆ อีกก็ตามแต่ว่าสูตรใครเป็นสูตรใคร แต่ว่าพอปรุงแต่งออกมาแล้วรสชาดของมันจะออกแนว เผ็ดร้อน และกลมกล่อมนิดๆ หรือว่าจัดจ้านก็แล้วแต่ในแต่ละบาร์ครับผม ต่างกันในเรื่องของเครื่องเคียง [Garnish] บางร้านก็จะให้มาแบบเต็มยสกันเลย มี Celery Stick ก้านใหญ่ Olive, Onion, Lime และหรือบางร้านก็ใส่ผักชนิดต่างๆ มาที่ขอบแก้วให้ได้ดื่ม และกินไปด้วยในขณะเดียวกัน นี่แหละครับความหลากหลายของ เจ้า Bloody Mary มันก็เหมือนกับเราไปสั่งผัดกะเพรานะแหละครับผม ผมว่า 10 ร้านนี่ก็ต้องเจออะไรที่ไม่เหมือนกันทั้งหน้าตาและรสชาดอย่างแน่นอนครับผม  และที่สำคัญเครื่องดื่มแก้วนี้ มันเป็นอะไรที่ ผู้หญิงที่ชอบดื่ม [นิดหน่อย] ถึงกับบอกว่าตื่นขึ้นมาขอแค่ Bloody Mary ซักแก้ว ก็อยู่ได้แล้วไม่ต้องมีอาหารเช้าก็ได้ เพราะว่าได้กินอาหารเช้าที่เป็นเครื่องเคียงอยู่ที่เครื่องดื่มแล้ว
หลังจาก Bloody Mary เร่ิมได้รับความนิยม ก็เร่ิมมีหลายๆ คนได้พยายามที่จะทำให้เครื่องดื่มตัวนี้สามารถเข้าถึงกับทุกๆคนได้ ก็เลยเกิดการทำ Bloody Mary สูตรต่างๆ ออกมา ซึ่งไม่ใช่แค่ Vodka อย่างเดียวตอนนี้ก็มีออกมาเยอะแยะ แต่ว่าตัวที่พอจะนิยมและมีชื่อเรียกกันอย่างเป็นทางการก็มีประมาณนี้ครับผม 
Bloody Mary
Vodka+Tomato Juice

Bloody Caesar
Vodka + Clamato Juice [เป็น Tomato Juice Cocktails ] 

Bloody Margaret
Gin + Tomato Juice

Bloody Maria 
Tequila + Tomato Juice

ครับผม ก็อีกหนึ่ง Cocktails ที่นำมาเสนอกันครับผม เดี๋ยวครั้งต่อไป ลองมาดู Cocktails ที่เคยได้รับความนิยมในบ้านเรา และตอนนี้ก็ยังพอเป็นที่นิยมอยู่กันบ้างครับผม แล้วติดตามดูนะครับผม 
"คนชงเหล้า"

วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Martini's Cocktails

สวัสดีครับผม มิตรรักขาดื่มทั้งหลาย เป็นงัยกันบ้างครับผม หลังจากได้วันหยุดยาวๆ มากันวันนี้ทุกๆ คนก็คงกลับมาทำงานกันตามปรกติแล้ว หวังว่าเดินทางกลับมาปลอดภัยดีกันนะครับผม มีข่าวที่ไม่ค่อยดีนักสำหรับอุบัติเหตุบนท้องถนนครั้งใหญ่ที่พ่ึงเกิดขึ้นเมื่อวันก่อนนี่เอง ก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้าครับ ขับมาดีๆ อีกคันโผล่มาจากอีกฝั่งมาชนแบบไม่รู้เน้ีอรู้ตัวเลย เอาเป็นว่าคนชงเหล้าก็ขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ในครั้งน้ันด้วยนะครับผม
เอาล่ะครับผม หยุดคุยเรื่องเหล้ามาแล้ว 2 วัน ก็อดไม่ได้ที่จะต้องเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเหล้าให้เพื่อนๆ และมิตรรักขาดื่มมีอะไรมากระแทกคอเล่นๆ กันบ้างครับผม วันนี้ขอมาในแนวแบบว่าผู้ดีนิดๆ แต่รับรองว่าไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอนครับผม วันนี้จะนำเสนอ Cocktails ที่อยู่ในหมวดหมู่ที่เขาเรียกขานกันว่า Martini  Martini นี้ได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงมาจากอเมริกา เป็นคนริิเร่ิมทำและก็เร่ิมนิยมดื่มกันอย่างมากมายตามบาร์และโรงแรมต่างๆ และ Martini แต่ละตัวที่ดังๆ และมีชื่อเสียงนั้นก็ส่วนใหญ่แล้วจะมาจาก ซุปตาร์ทั้งหลายแหล่ซะส่วนใหญ่เลย อเมริกันเป็นคนริเร่ิมทำและดื่มเครื่องดื่มแก้วเล็กนี้แต่ว่าแก้วที่อเมริกันชนนำมาใช้ในการใส่เครื่องดื่มแก้วนี้นั้น กลับถูกออกแบบและสร้างขึ้นโดยชาวฝรั่งเศษ [อันนี้เขาว่ามานะ]  Martini นั้นเป็นเครื่องดื่มที่เรียกได้ว่า แรงเอาการ เพราะว่าส่วนผสมหลักของมันก็คือเหล้าล้วนๆ ในยุคแรกๆ ของการทำ Martini เช่น Gin Martini ก็จะมีแค่ Gin + Dry Vermouth แล้วก็ดื่มกับ Olive หรือว่า Twist แค่นั้น ถ้าเป็น Vodka Martini ก็แค่ Vodka + Dry Vermouth แค่นั้นเอง และก็ดื่มกับ Olive หรือว่า Twist เช่นกัน และจากความนิยมกันอย่างมากแต่ว่ารสชาดมันเองนั้นกลับไม่ถูกปากใครบางคน [อยากให้เข้าไปอ่านบทความของผมครับเกี่ยวกับเรื่องนี้ หรือเปล่า คลิก] ก็เลยต้องมีการเติมโน่นแต่งนี้ และก็เพื่มรสชาดและสีสันที่เมื่อก่อนไม่มีสีสันอะไร ไม่มีรสชาดอะไรเลยนอกจากแอลกอฮอล์ ผมเป็น คนชงเหล้า มาสิบกว่าปีแล้วผมยังไม่มีความรู้สึกหรือว่าอยากจะดื่มมันเลยครับผม ไอ้ Classic Martini เนี่ย
ครับหลังจากนั้นไม่นาน Martini ก็เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ ในแต่ละวันจากหลายๆ บาร์ หลายๆ โรงแรมก็มีการคิดค้นสูตรและเรื่องราวของ Martini ของตนออกมาให้ลูกค้าได้มีความหลากหลายในการสั่ง Martini ที่ไม่จำเจเหมือนเดิมอีกต่อไป
เอาล่ะครับผม รู้ไว้ใช่ว่า แต่ว่ารู้มากไปก็แค่นั้นแหละครับผม เอาเป็นว่าพอรู้ก็แล้วกันนะ มาดูกันดีกว่าไอ้ที่ฝรั่งมันคลั่งไคล้กันนักหนาน่ะมันมีอะไรน่าสนใจหรือว่าน่าลิ้มลองกันขนาดไหน
Classic Gin Martini
นี่แหละครับผม ถ้าเป็น Martini แบบดัั้งเดิมเลยก็จะมีสีสันเหมือนน้ำเปล่าอย่างที่เห็นนี่แหละครับผม แต่ว่าเครื่องดื่มตัวนี้จัดได้ว่าเป็นเสือซ่อนเล็บเลยก็ว่าได้  ก็ที่เห็นอยู่ในแก้วเพียวๆ น่ะมันแอลกอฮอล์ล้วนๆ เลยนะครับผม มีส่วนผสมของน้ำแข็งที่ละลายจากการเขย่านิดหน่อยแต่ว่าก็ไม่ได้ทำให้ความแรงของมันลดน้อยถอยลงแต่อย่างใดครับผม ถ้าคอไม่แข็งนะครับผม รับรองว่า แก้วที่สอง ก็น่าจะออกอาการนิดนึงแล้วแหละ
ส่วนผสมหลักมีดังนี้
Gin / Vodka             3 Oz
Dry Vermouth       1/4 Oz
แล้วก็เตรียม Garnish หรือว่าจะเรียกว่าเครื่องเคียงก็ได้นะ ตัวนี้จะนิยมใช้อยู่ 2 อย่าง คือ
Olive หรือ Twist [ส้มหรือว่ามะนาวเหลืองก็ได้]

ครับผมนี่ก็คือ Classic Martini ที่สวยใสแต่ว่าไม่ไร้แอลกอฮอล์นะครับผม โค ตะ ระ แรงเลยแหละ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ครับผม

Cosmopolitan
นี่ก็เป็นอีกหนึ่ง Martini ที่ได้รับความนิยมในหมู่ชน อเมริกันเป็นอย่างมาก ถามว่าเนื่องด้วยรสชาดมั๋ยก็ต้องบอกว่า มีส่วนรสชาดตัวนี้ใช้ได้ แต่ว่าจะเหมาะกับผู้หญิงซะส่วนใหญ่ แต่ว่าผู้ชายที่ทั้งแท้ทั้งเทียมก็เห็นสั่งกันเยอะแยะมากมาย เสริฟกันแทบไม่ทันในบางวัน ก็อย่างที่บอกไว้นะแหละครับผม ตัวนี้มันเกิดขึ้นมาในบาร์ตั้งนานแล้วแหละ แต่ว่าก็พอได้รับความนิยมบ้าง แต่ว่าพอมันได้เป็นเครื่องดื่มประจำหนังดังสุดฮิตของอเมริกาอย่าง Sex and The City ที่บรรดาสาวๆ ตัวเด่นในเรื่องจะชอบมาเจอกันที่บาร์และก็จะสั่งเครื่องดื่มตัวนี้แหละ ผ่านจอหนัง ผ่านคนดูกว่า 200 ล้านคนทั่วอเมริกา  เครื่องดื่มตัวนี้ก็เลยดังแบบว่าแรงดีไม่มีตกตั้งแต่นั้นเป็นตนมาจนปัจจุบัน
มาดูกันครับผม เผื่อยากทำไว้ดื่มเองต้องมีอะไรบ้าง
Absolut Citron         2     Oz
Cointreau         1/2   Oz
Rose Lime Juice      1/4     Oz
Cranberry Juice       1/2     Oz
เครื่องเคียงก็แค่ Twist เพื่อเพิ่มความหอมครับผม
แค่นี้แหละครับผม เครื่องดื่มระดับโลกที่ดังค้างฟ้าในแทบจะทุกบาร์ที่มีสาวๆ และชายไม่แท้

แก้วนี้ไม่ใช่พระเอกจากหนังเรื่องใดๆทั้งสิ้น และก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะไปถึงไหน เพราะว่าผมคิดและอยากทำขึ้นมาให้ลองชิมกันเอง คิดว่าน่าจะถูกใจสาวๆ [อีกแล้ว] ก็บอกแล้วงัยครับผม ว่า Martini นั้นมันเหมาะกับผู้หญิง แต่ว่าจริงๆ แล้วผู้ชายชอบสั่งมากกว่า[ไม่งงนะ] เอาล่ะมาเข้าเรื่องกัน ตัวนี้ขอตั้งชื่อมันว่า Peachee Tini ครับ มาดูกันว่าอยากดื่มต้องเตรียมไรบ้าง
Orange Vodka        2 1/2      Oz
Cointreau       1/4       Oz
Peach Schnapps      1/4      Oz
Orange Juice       1/2        Oz
แล้วก็หาส้มมาซักซีก แปะไว้ข้างแก้ว พอสวยและจะเพ่ิมรสชาดและกลิ่นที่ชวนดื่มขึ้นไปอีก
สำหรับ Orange Vodka นั้นอยากแนะนำว่า Grey Goose หรือว่า Absolut ก็ได้ แต่ว่าถ้าบอกว่าไม่เกี่ยงยี่ห้อ อะไรที่เป็น Vodka หยิบมาเถอะครับผม ตามสบายครับ 


นี่ก็เป็นอีกหนึ่ง Classic Martini ที่มีสีสันกว่าเพื่อนในยุคก่อน แต่ว่าเห็นมีสีสันอย่างนี้ อย่าคิดว่าแอลกอฮอล์จะหายไปนะครับเพราะว่าเจ้าตัวนี้ มีส่วนผสมอยู่แค่ 2 ตัวครับผม คือว่าเหล้า 2 อย่างแค่นั้นเองครับผม ไม่มีอะไรมาตัดความแรงของแอลกอฮอล์เลยครับผม ลูกค้าหลายๆ คนดื่มแล้วฝืนชอบเพราะว่ามันคือ Martini ต้องดื่มให้เป็น บางคนดื่มแล้วมีความเป็นตัวของตัวเองสูงวางแก้วทันทีและบอกว่าขอเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นอันนี้ "แ-กไม่ลง" ก็มี ส่วนอีกคนดื่มเสร็จจนหมดบอกว่าขออีกแก้วก็พอมี บอกว่ามันแรงดี ชอบ
มาดูกันว่ามันมีอะไรบ้าง ถ้าเอาตามสูตรมันนะ มีเหล้าแค่ 2 ตัว วันนี้ขอใส่ให้มันเป็น 3 ตัวจะได้เพ่ิมรสชาดและความแรงให้กลมกล่อมขึ้น
Vodka         2       Oz
Blue Curacao      1/2       Oz
Cointreau         1/2        Oz
แค่นี้แหละครับผม แล้วก็เตรียมส้มเป็นชิ้น หรือว่า Twist ก็แล้วแต่ครับผม บอกไว้ก่อนว่ามันแรง

แก้วนี้พึ่งทำยังไม่ได้ตั้งชื่อ เดี๋ยวขอแสียงประชามติแถวๆ นี้ก่อนแล้วจะกลับมาลงรายละเอียดและชื่อของมันก็แล้วกัน 
เอาล่ะครับผม วันนี้ก็คงมีมาฝากกันแค่นี้ก่อน ยังงัยก็ติดตามในตอนต่อไปครับผม เฉพาะ Matrini นี้ยังมีอีกหลายภาค หลายตอนแน่นอนครับผม พูดง่ายๆว่าถ้าทำวันละแก้วดื่มนะ  3 เดือนไม่ซ้ำแน่นอน แต่ว่าคงจะสลับสับเปลี่ยนกันไปนะ เดี๋ยวจะเมากลิ้งกันเสียก่อน ยังงัยก็ดื่มแล้วอย่าขับเด็ดขาดนะครับ อยากให้คนไทยรักการดื่มแบบมีสติครับผม 
Drinks Responsibly
ด้วยความปรารถนาดีจาก "คนชงเหล้า"

วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

งดเหล้า เข้าพรรษา

สวัสดีครับผม ขาดื่มแฟนบล็อคของ "คนชงเหล้า" ทุกๆคน ช่วงนี้ตามผับตามบาร์ก็คงจะเงียบเหงากันอยู่บ้างพอสมควร[ หรือเปล่า??] เพราะว่าวันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันสำคัญทางศาสนา ที่คนไทยส่วนใหญ่มักจะเลือกเอาช่วงเทศกาลนี้ในการทำความสะอาดและพักผ่อนการทำงานของตับ และสุขภาพของร่างกายกัน ด้วยการ งดเหล้าในวันเข้าพรรษา  อย่าว่าอย่างนั้น อย่างนี้เลย วันนี้ ทางบล็อคของ "คนชงเหล้า" ก็อยากจะขอมีส่วนในวันสำคัญนี้บ้างก็แล้วกัน เอาเป็นว่าช่วงนี้คงจะไม่ได้พูดถึงเรื่อง Cocktails มากซักเท่าไหร่ แต่ว่าก็ยังจะคงนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับเครื่องดื่ม และก็ที่มาที่ไปของมันเหมือนเดิม แต่ว่าคงไม่ถึงกับให้จบพรรษานะ ไม่งั้นแฟนๆ ก็คงหายหน้าหายตากันหมดพอดี แบบว่าขอมีส่วนร่วมในกิจกรรมดีๆ บ้างครับ
วันนี้ก็เลยมีเรื่องราวเกี่ยวกับวัน อาสาฬหบูชา มาฝากกันนิดหน่อยครับ พอให้ได้รู้ที่มาที่ไปกันบ้าง บอกตรงๆ ครับ ปีนึงมีครั้งอย่างนี้ลองไปถามเด็กๆ ดูซิ ว่าวันอาสาฬหบูชานั้น มันเป็นวันสำคัญอะไร ยังงัย เด็กๆก็จะทำหน้างงกันซะส่วนใหญ่ แต่ว่าถ้าถามว่าวัน Valentines ตรงกับวันที่เท่าไหร่ และเป็นวันอะไร เด็กไทยทั้งประเทศไล่กันมาตั้งแต่อนุบาลที่เร่ิมพูดได้ไม่กี่คำ สามารถตอบโจทย์นี้กันได้ผมคิดว่าน่าจะ 99.99% กันเลยก็ว่าได้ มาทำความรู้จักกันนิดนึงครับ

วันอาสาฬหบูชา  เป็นวันสำคัญทางศาสนาพุทธนิกายเถรวาท และวันหยุดราชการในประเทศไทย คำว่า อาสาฬหบูชา ย่อมาจาก "อาสาฬหปูรณมีบูชา" แปลว่า "การบูชาในวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ" อันเป็นเดือนที่สี่ตามปฎิทินของอินเดีย ตรงกับวันเพ็ญ เดือน 8 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย ซึ่งมักจะตรงกับเดือนมิถุนายน หรือเดือนกรกฎาคม แต่ถ้าในปีใดมีเดืนอ 8 สองหน ก็ให้เลื่อนไปทำในวันเพ็ญเดือน 8 หลังแทน
วันอาสาฬหบูชาได้รับการยกย่องเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เนื่องจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ 45 ปี ก่อน พุทธศักราชในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 คือวันอาสาฬหปุรณมีดิถี หรือวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมือง พาราณสี แคว้นมคธ อันเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาเป็นครั้งแรกเป็นปฐมเทศนา คือธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แก่ปัญจวัคคีย์
การแสดงธรรมครั้งนั้นทำให้พราหมณ์โกณฑัญญะ 1 ใน 5 ปัญจวคคีย์ เกิดความเลื่อมใสในพระธรรมของพระพุทธเจ้า จนได้ดวงตาเห็นธรรมหรือบรรลุเป็น พระอริยบุคคลระดับโสดาบันท่านจึงขออุปสมบทในพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ด้วยวิธี เอหิภิกขุอุปสัมปทา พระอัญญาโกณฑัญญะ จึงกลายเป็นพระสงค์องฆ์แรกในโลก และด้วยเหตุที่ท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคล (อนุพุทธะ) เป็นคนแรก จึงทำให้ในวันนั้นมีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์เป็นครั้งแรกในโลก คือ มีทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้วันนี้ถูกเรียกว่า "วันพระธรรม" หรือ วันพระธรรมจักร อันได้แก่วันที่ล้อแห่งพระธรรมของพระพุทธเจ้าได้หมุนไปเป็นครั้งแรก และ "วันพระสงฆ์" คือวันที่มีพระสงฆ์เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก อีกด้วย
เดิมนั้นไม่มีการประกอบพิธีการบูชาในเดือน 8 หรือวันอาสาฬหบูชาในประเทศพุทธเถรวาทมาก่อน จนมาในปี พ.ศ. 2501 การบูชาในเดือน 8 หรือวันอาสาฬหบูชาจึงได้เริ่มมีขึ้นในประเทศไทย ตามที่ คณะสังฆมนตรีได้กำหนดให้วันนี้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาของประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. 2501 โดยคณะสังฆมนตรีได้มีมติให้เพิ่มวันอาสาฬหบูชาเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาในประเทศไทย ตามคำแนะนำของพระธรรมโกศาจารย์ [ชอบ อนุนจารี]โดยคณะสังฆมนตรีได้ออกเป็นประกาศสำนักสังฆนายกเมื่อวันที่  14 กรกฎาคม พ.ศ. 2501 กำหนดให้วันอาสาฬหบูชาเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาพร้อมทั้งกำหนดพิธีอาสาฬหบูชาขึ้นอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยมีพิธีปฏิบัติเทียบเท่ากับวันวิสาขบูชา อันเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาสากล
อย่างไรก็ตาม วันอาสาฬหบูชาถือเป็นวันสำคัญที่กำหนดให้กับวันหยุดของรัฐเพียงแต่ในประเทศไทยเท่านั้น ส่วนในต่างประเทศที่นับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาทอื่น ๆ ยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับวันอาสาฬหบูชาเทียบเท่ากับวันวิสาขบูชา
ครับผม ก็เล็กๆ น้อยๆ เก็บมาฝากกันครับ ยังงัยๆ วันนี้ก็งดๆ กันหน่อยก็แล้วกันนะครับผม แล้ว
กลับมาดื่มดำ่ความรู้และข้อมูลดีๆ จากคนชงเหล้ากันต่อครับผม 

วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Top 5 Spirits 4 [ต่อ]

สวัสดีกันอีกครั้งครับผม มิตรรักแฟนบล็อคคอเหล้า ของคนชงเหล้าทั้งหลาย วันนี้ก็สืบเนื่องต่อมาจากเมื่อตอนที่แล้ว เราได้พูดคุยกันถึงเรื่องเหล้าค้างไว้นิดหน่อย วันนี้ก็เลยอยากจะมารินเหล้าเพ่ิม เติมโซดาอีกนิดนึง ถ้าใครมีน้ำแข็งก็เข้ามานั่งล้อมวงกันเลยครับผม จะเร่ิมรินเหล้าแล้ว
Whisky หรือที่เรียกกันจนคุ้นหูบ้านเราไปแล้วว่า วิสกี้นั้น น่าจะเป็นเหล้าเพียงกลุ่มเดียวใน Top 5 Spirits ที่ผมคิดไปเองว่ามันเป็นเหล้าที่ขายดีไปทั่วโลก แต่ว่าในทางกลับกัน เหล้าตัวที่ผมเอาไว้ท้ายสุดนี้ในตลาดโลก กลับเป็นเหล้าตัวที่ขายดีที่สุดในตลาดไทย 4 ตัวแรกนั้นคนไทยบางกลุ่มก็พอเคยดื่ม เคยลอง หรือว่าเคยรู้จักมันบ้างว่ามันก็คือเหล้าชนิดนึงเหมือนกัน แต่ว่าสำหรับคนไทยอีกกลุ่มหนึ่ง ไอ้เหล้า 4 ตัวแรกนั้น มันช่างเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะห่างไกลตัวเสียเลยเกิน ยังไม่เคยลอง ยังไม่เคยดื่ม และบางคนยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร ผมเชื่อว่าใครก็ช่างที่กำลังนั่งอ่านบทความตรงนี้อยู่ ทุกๆคนน่าจะรู้จักกับมันดี แต่ต้องไม่ลืมว่ายังมีอีกหลายล้านคนเลยแหละ ที่เขานานๆจะมีโอกาสได้ดื่มอะไรที่มันไม่บาดคอมากจนเกินไปนัก แต่ว่านั่นไม่ใช่ประเด็นที่เราจะเอามาถกกันวันนี้ครับผม วันนี้เราจะมาคุยกันถึงเรื่องของเครื่องดื่มที่คนไทยเราคุ้นเคยและโปรดปรานมันมากที่สุดในหมู่ของน้ำเมาที่เรียกว่าเหล้าครับ
Whisky นั้นทำมาจากข้าวชนิดต่างๆ ที่นำมาทำการหมักกับน้ำ แล้วก็เติมยีสต์ หลังจากการหมักซักระยะนึง ในระยะเริ่มต้นนี้ถ้าหยุดกระบวนการการหมักไว้ที่ระดับนึ่งที่ยีสต์เร่ิมทำปฎิกิริยากับน้ำตาล ก็จะได้น้ำเมาอีกชนิดนึงที่เราเรียกกันว่า "เบียร์" แต่ว่าถ้าปล่อยให้กระบวนการหมักยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องปล่อยให้ยีสต์ทำปฎิกิริยากันน้ำตาลต่อไปจนหมดหรือเกือบหมดปริมาณน้ำตาล เราก็จะได้น้ำเมาที่เร่ิมจะไกล้เคียงกับคำว่าเหล้า พอได้ขบวนการตรงนี้แล้ว น้ำเมาที่ได้ก็จะยังไม่ใสบริสุทและยังไม่มีรสชาดที่ดีพอที่จะเอามาบริโภคได้ ก็จะต้องนำมันไปทำการต้มอย่างที่บ้านเราเรียกว่าต้มเหล้านะแหละ แต่ว่าตรงนี้ขอเรียกว่าเป็นการกลั่นก็แล้วกัน ฟังดูดีหน่อย แต่ว่าโดยหลักการมันก็คือการต้มนะแหละ ให้ไอของน้ำเมาระเหยขึ้นไปตามท่อที่ต่อไว้แล้วก็ไปผ่านท่อน้ำเย็นให้ตกลงมาเป็นหยดแอลกอฮอล์ที่ใสบริสุทธ์ และมีประมาณแอลกอฮอล์ที่สูงขึ้นเพราะว่าไอ้ที่ระเหยขึ้นมาและตกลงมาอีกหม้อนึงนี่คือแอลกอฮอล์ล้วนๆ  แต่ก็อีกนะแหละ พอได้น้ำเมาบริสุดตรงนี้มาแล้ว สีสันและรสชาดที่ได้ก็ยังไม่ได้บอกว่ามันเป็นสีและรสชาดของ Whisky ที่เราเห็นอยู่นี่แล้วนะ มันยังจะต้องไปผ่านกระบวนการคัดเลือก และการปรุงแต่งรสชาดตามสูตรของแต่ละโรงกลั่นอีก และกระบวนการสุดท้ายหลังจากเลือกหัวน้ำเมาได้แล้ว เอามาปรุงแต่งรสชาดได้แล้ว ก็จะต้องมาถึงกระบวนการในการหมักบ่มกันต่ออีกในถังไม้ หรือถังสแตนเลสก็เป็นได้สำหรับเหล้าตลาดราคาถูก กระบวนการบ่มนี้ก็จะใช้เวลาอีกเป็นปี 3 ปี 6 ปี ไปได้เรื่อยๆ จนถึง 40 ปีขึ้นไปก็มี แต่ว่าเหล้าตลาดที่ขายกันโดยทั่วไปก็จะอยู่ระหว่าง 3-12 ปี ซะส่วนใหญ่ ยังครับยังไม่จบ บ่มกันจนได้ที่แล้้วก็ต้องมาผ่านกระบวนการกรองเพื่อจะบรรจุขวดอีก ลองนึกดูเอานะครับกว่าจะได้เหล้ามาหนี่งขวดนี่มันใช้เวลาที่ยาวนานแค่ไหน เพราะฉนั้นเวลาดื่มWhisky ดีๆ ที่มีอายุมากกว่า 12 ปีขึ้นไป ส่วนใหญ่เขาจะไม่ผสมกัน บางคนยิ่งขอดื่มแบบเพียวๆเลยน้ำแข็งก็ไม่ต้อง แต่ว่าถ้าดื่มเพียวๆไม่ไหวก็ใส่น้ำแข็งแค่ก้อนเดียวก็พอ มันจะได้ไม่ไปทำลายรสชาดและความหอมที่เขาบรรจงปรุงแต่งและหมักบ่มมาเป็นเวลานานแสนนาน
เป็นงัยกันบ้างครับผม เร่ิมเมากันบ้างหรือยัง จริงๆแล้วถ้าจะให้เล่ากันแบบละเอียดเกี่ยวกับ Whisky แล้วล่ะก็ ผมว่าอีกหลายเมาก็ไม่จบครับผม มันมีอะไรที่เป็นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ อยู่อีกเยอะมากครับ อันนี้เอาแบบรวบรัดแล้วนะ และเอาแบบหลักๆแค่นั้น มันยังมีอีกเยอะเลย เอาเป็นว่าจะแบ่งหัวข้อออกมาไว้เล่ากันวันต่อๆไปก็แล้วกัน
ชุดนี้น่าจะคุ้นกันแล้ว ขวดแรกนั้นว่ากันว่ามันบ่มอยู่ประมาณ 3-6 ปี ขวดที่สองนี่เขียนไว้ แน่นอนว่า 12 ปี รุ่นนี้คนไทยชอบมาก และขวดที่สามนี้เป็นอีกรุ่นที่เก่าพอควรบอกเอาไว้ว่า 18 ปี ที่นอนนิ่งอยู่ในถังไม้อย่างดี

3 ตัวนี้ที่ทำให้ทั้งฝรั่งและคนไทยสับสนกันไปทั่วโลก เพราะว่ามันมักจะตั้งอยู่ในหมวดในแถวเดียวกัน ขนาดในเมนูเครื่องดื่มบางทีมันยังอยู่ในกลุ่มเดียวกันอีกต่างหาก แต่ว่าเหล้า 3 ตัวนี้มันเป็นเหล้าคนละชนิดกันเลย เพียงแต่ว่ามันคลายกันซะจนแทบจะแยกไม่ออก เดี๋ยวจะอธิบายเพิ่มเติมตอนต่อไปนะครับอยากรู้ต้องติดตาม

Gentleman Jack นี่ก็เป็นอีกหนึ่งรุ่นจากครอบครัว Jack Daniels  ประมาณการว่ามันคือ
"Rare Tennessee Whiskey"
Rare คำนี้ถ้าบ้านเราใช้บ่อยก็คือเวลาสั่งสเต็กแล้วขอแบบไม่สุกก็จะใช้คำว่า Rare
แต่ว่าพอมันมาอยู่ข้างขวดเหล้าแล้ว มันจะเปลี่ยนความหมายไปเป็นว่า "สุดยอด  เลอค่า หายาก"  ประมาณนั้น


ขวดนี้คงไม่ต้องพูดถึงกันมาก รู้จักกันอยู่ดี เคยดื่มแล้วด้วย แต่ว่ารู้ไว้นิดก็ดีว่ามันคือหนึ่งในอีกหลายร้อยยี่ห้อที่มาจาก Scotchland ที่โด่งดังและคงความเป็นอมตะในเรื่องของรสชาดของน้ำเมามาได้เป็นเวลากว่า 200 ปีแล้ว

นี่ก็อีกหนึ่งในตระกูลนักเดินทาง Johnnie Walker ถือว่าเป็นน้องเขาสุดถ้าแบ่งรุ่นกันตามอายุการบ่มและเรืองของราคา แต่ว่าสรรพคุณในการที่สามารถทำให้คนดื่มมันแล้วเมาได้ ยังคงมีความสามารถไม่ได้ด่อยไปกว่ารุ่นพี่ 

หนึ่งในเกรดพรีเม่ียมของวันนี้ที่เอามาให้ดู บ่มอยู่ในถังไม้ตั้ง 18 ปีกว่าจะได้ลิ้มรสชาดของมัน เพราะฉนั้นเผื่อว่าใครได้มา อย่าดื่มผสมโค้กหรือโซดาให้คนเขาหัวเราะเราได้ว่าเราไม่ได้รู้คุณค่าของส่ิงที่เรามีอยู่่เลย ตามมารยาทและความน่าจะเป็นแล้ว เหล้าตัวนี้ดื่มกันอยู่ 2 วิธีครับ
On the Rocks / Straight Up แค่นี้ครับ แต่ว่าถ้าอยากจะผสมมันก็เงินของท่านครับ ตามสบาย

สองพี่น้องต่างถินที่บังเอิญมาเหมือนกันยังกะแกะขาวกะแกะดำ วันนี้คงอธิบายไม่หมด ติดตามกันต่อในตอนต่อไปครับ แค่อยากบอกว่ามันต่างกันมาก แต่ว่าทุกๆคนทั่วโลกกลับคิดว่ามันคือพี่น้องฝาแฝดกันซะอีก

หนุ่มหล่อมาดเข้มนามว่า Jack daniels

เป็นยี่ห้อที่บ่งบอกถึงความรักชาติเป็นอย่างมาก ใครเป็นคน Canada  ไม่สั่งดื่มก็ดูยังงัยๆอยู่ก็เลยต้องดื่มกันหน่อย

สั่งลากันด้วยตัวนี้ ของดีจากเมืองที่เด็กไทยทุกคนรู้จักที่มาของมันดี ว่ามันคือเมืองที่มีชื่อเสียงด้านการทอดไก่ จนเป็นที่รู้จักและชื่นชอบกันไปทั่วโลก ยังงัยแล้วจะมีบทต่อไปนะ

ครับผม วันนี้คิดว่ารินไปหลายแก้วแล้ว น่าจะเร่ิมกรึ่มเร่ิมเมากันบ้างแล้วแหละ เอาเป็นว่าขอหยุดการรินเหล้าไว้แค่นี้ก่อนก็แล้วกันนะ วันหน้าจะมารินเหล้าให้ฟังใหม่

Drinks Responsibly
"คนชงเหล้า"

วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Singapore Sling

ครับผม วันนี้แวะเอาข้อมูลดีๆ ที่เราๆท่านๆ อาจจะหลงจะลืมมันไปแล้ว เพราะว่าเราได้ยินชื่อมันจนเป็นเรื่องปรกติเคยชินไปเสียแล้ว วันนี้เราจะมากล่าวถึง Cocktails ตัวนึง ซี่งเคยได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในอดีต และจนกระทั้งในปัจจุบันนี้ก็ยังคงพอได้รับความนิยมอยู่บ้าง เรียกว่าเป็น Cocktails ในตำนานตัวนึงเลยก็ว่าได้เช่นกัน Cocktails ตัวที่กำลังพูดถึงนี้ก็คือ Singapore Siling ครับผม ชื่อก็บอกแล้วว่ามันต้องเป็นเครื่องดื่มที่มาจาก Singapore อย่างแน่นอนอยู่แล้ว Cocktails ตัวนี้มีมานานแสนนานแล้ว เมื่อตอนที่ผมก้าวเข้าสู่เส้นทางของโรงแรมครั้งแรกเลย เมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่นอยู่เลย ก็เคยได้ยินชื่อของ Cocktails ตัวนี้แล้ว วันนี้จะพาไปดู ประวัติ ความเป็นมาของมันอย่างคร่าวๆ กันครับผม


สิงคโปร์สลิง (Singapore Sling) เป็น Cocktails ที่คิดค้นโดยเงียมตงบุน Bartender ที่ทำงานอยู่ที่ลองบาร์ (Long Bar) ในโรงแรมราฟเฟิลส์ สิงคโปร์ เมื่อก่อน พ.ศ. 2458  สูตรที่ตีพิมพ์ในบทความเกี่ยวกับโรงแรมราฟเฟิลส์ก่อนทศวรรษที่ 1970 นั้นแตกต่างจากสูตรในปัจจุบันอย่างมาก และ "สิงคโปร์สลิง" ที่ดื่มในสิงคโปร์นั้นส่วนใหญ่เปลี่ยนแปลงมาจากสูตรที่ใช้ในโรงแรมราฟเฟิลส์ สูตรเดิมจะใช้ Gin, Cheery Herring, Benedictine และส่วนที่สำคัญที่สุดคือ น้ำสัปปะรดสด ซึ่งแรกเริ่มเลยจะใช้สับปะรดซาราวัก ช่วยเพิ่มรสชาดและทำให้เกิดฟอง สูตรส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะใช้น้ำสับปะรดบรรจุขวดแทนน้ำสับปะรดสด และเติมโซดาให้เกิดฟองด้านบน สูตรของโรงแรมถูกคิดขึ้นใหม่จากความทรงจำของ Bartender คนก่อนๆ และจดบันทึกไว้ ซึ่งทำให้สามารถรู้เกี่ยวกับสูตรเดิมได้ หนึ่งในสูตรที่เขียนไว้อย่างลวกๆ ยังคงจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์โรงแรมราฟเฟิลส์
สูตรของโรงแรมราฟเฟิลส์ในปัจจุบันได้รับการปรับปรุงจากสูตรเดิมในหลายส่วน ซึ่งเป็นไปได้มากว่าปรับปรุงในทศวรรษที่ 1970 โดยหลานของเงียมตงบุน ทุกวันนี้สิงคโปร์สลิงที่บริการที่โรงแรมราฟเฟิลส์มักจะผสมไว้ล่วงหน้า และใช้เครื่องปั่นอัตโนมัติที่ผสมแอลกอฮอล์และน้ำสับปะรดในปริมาณที่กำหนดไว้ แล้วปั่นรวมกันแทนการเขย่าเพื่อให้เกิดฟองด้านบนได้ดี รวมทั้งยังช่วยประหยัดเวลาเมื่อมีรายการสั่งจำนวนมาก แต่ก็ยังสามารถสั่งแบบเขย่าได้จากบาร์เทนเดอร์
นี่แหละครับผม ประวัติ ความเป็นมาของเจ้า Cocktails ที่ชื่อว่า Singapore Sling ครับผม เดี๋ยววันหน้าเรามาทำดื่มกันก็ได้ครับผม
นี่แหละครับหน้าตาของเครื่องดื่มที่แก้วล่ะเกือบพันบาทไทย ความอร่อยนั้นก็ไม่เท่าไหร่ครับ แต่ว่าความเป็นตำนานและความมีชื่อเสียงของการสร้างเครื่องดื่มตัวนี้ต่างหาก


วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Top 5 Spirits 4

สวัสดีครับ คอเหล้าทั้งหลาย และก็แฟนๆของ "คนชงเหล้า" ทุกๆคนที่ได้ติดตามอ่านบล็อคเล็กๆ บล็อคนี้มา จะด้วยว่าตั้งใจค้น ตั้งใจหามาจนเจอ หรือว่าบังเอิญหลงเข้ามาได้งัยก็ยังไม่รู้ เอาเป็นว่ายินดีต้อนรับทุกๆคนครับผม บล็อคของเราเป็นบล็อคเปิดอยู่แล้วครับ ในหลายๆบล็อคของผม ก็พยายามนำเสนอ ทั้งเรื่องของข้อมูลของสิ่งต่างๆ ที่หลายๆคนในวันนี้ก็สามารถหาได้จากในอีกหลายๆ เว็ป หลายๆบล็อค ที่ทุกๆคนก็ต่างนำเสนอสื่อต่างๆเหล่านี้กันอยู่แล้ว แต่ว่าที่นี่ บล็อคของ คนชงเหล้า ค่อนข้างจะแตกต่างจากบล็อคของคนอื่นอยู่นิดนึงก็ตรงท่ีว่า แค่อยากจะคุย อยากจะบอก อยากจะถ่ายทอด ที่สำคัญอยากจะ"เหล้า" เล่า สู่กันฟังในภาษาบ้านๆ ไม่เน้นวิชาการมากเกินไป เอาแบบว่าเหมือนนั่งคุยกันในวงเหล้าซะมากกว่า เพราะฉนั้น ถ่อยคำ หรือการใช้ภาษาบางครั้งอาจจะไม่ค่อยไพเราะเพราะหูหลายๆคนมากนัก อันนี้ ข้ากระผมผู้เขียนบล็อคของ "คนชงเหล้า" ทั้งหมด ก็ต้องขอโทษขออภัยไว้ ณ ตรงที่นี้ด้วยนะครับ

เอาล่ะครับ แนะนำกันมาพอสมควร สมเหตสมผลแล้ว พอแล้วเถอะเดี๋ยวคนเขาจะสมน้ำหน้าเอา อันนี้ไม่เอานะแค่แหย่เล่นไม่อยากให้เครียดกันมากจนเกินไปครับผม กำลังจะชวนมานั่งวงรินกิน "ดื่ม"เหล้า กันในอีกไม่กี่อึดใจนี้แล้ว เตรียมโซดาน้ำแข็งให้พร้อม เพราะว่าวันนี้เราจะมาคุยกันถึงเรื่องของ เหล้าตัวนึงที่เขาเรียกกันว่า Whisky หรือบางทีก็อาจจะเห็นเขาเขียนกันว่า Whiskey เอ แล้วมันแตกต่างกันยังงัยหรือเปล่าไอ้สองตัวนี้

Whisky นั่นส่วนใหญ่แล้วจะใช้กันทาง UK.และก็ Canada กันซะเป็นส่วนใหญ่ เช่นถ้าเป็น เหล้าที่มาจาก Scotchland ก็จะใช้คำว่า Scotch Whisky ที่ข้างขวด ลองสังเกตดูนะครับ ส่วนใหญ่แล้วเหล้าที่ขายอยู่บ้านเราน่ะ จะมาจาก ฝั่ง Scotchland ซะส่วนใหญ่ ของฝั่ง U.S.A. ก็พอมีแต่ว่าพี่ไทยไม่ค่อยชอบ หรือว่ายังไม่ลองก็ไม่รู้



เหล่านี้ก็คือตัวอย่างของ Scotch Whisky ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดีอยู่แล้ว 

Canadian Club หรือว่าเรียกกันไปทั่วโลกว่า CC เช่นต้องการสั่งเหล้าตัวนี้ผสมโค้ก ก็แค่บอก Bartender ว่า ขอ CC Coke ที่นึง เป็นอันรู้กัน ว่าต้องการเหล้าตัวนี้ผสมโค้ก ตัวนี้ก็ใช้คำว่า Whisky




Whiskey นั่นส่วนใหญ่แล้วจะใช้กันทาง U.S.A.  ครับ เช่นกัน เหล้าที่มาจาก U.S.A. เช่น Jack Daniels และ Jim Beam ก็จะใช้คำข้างขวดว่า Whiskey เช่น

Jack Daniels จะใช้คำว่า Tennessee Whiskey ชื่อสั้นๆ ของเขาก็คือ Jack  รสหวานดื่มง่าย ใส่อะไรผสมลงไปก็อร่อย


Jim Beam ชืี่อสั้นๆ เป็น Bourbon Whiskey ที่มีชื่ออีกตัวของอเมริกันชน ประมาณว่าแม่โขงบ้านเราครั้งยังรุ่งเรืองประมาณนั้น แต่ว่าของเขา ยังรุ่งเรืองมาจนทุกวันนี้

ครับผม นั่นก็คือตัวอย่างคร่าวๆ ของการใช้คำว่า Whisky กับ Whiskey จริงๆ แล้วจะใช้คำว่าอะไร
ในฐานะผู้บริ โภค[ที่ดื่มได้ทุกยี่ห้อ] อย่างเราๆ แล้ว มันจะเขียนว่างัยช่างมัน ถ้าดีกรีมันถึง 40 % แสดงว่าใช้ได้แน่นอน
เอาล่ะครับผม วันนี้แวะมาทักทายกันก่อน ก่อนที่เราจะไปตั้งวงฟังเรื่องราวของเจ้า Whisky หรือ Whiskey กันในบทถัดไปครับผม 




วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ขอเล่าเรื่องเกี่ยวกับเหล้า

ครับ กลับมาเจอกันอีกแล้วครับผม วันนี้ไปอ่านเจอบทความดีๆ ก็เลยอยากจะเอามาเหล้า เฮ้ย ไม่ใช่ครับพูดผิด จะมาเล่าให้ฟังครับผม ก็เรื่องราวเกี่ยวกับเหล้านี่แหละ แต่ผมเชื่อว่าน้อยคนที่จะเคยได้อ่านหรือว่าเคยได้รู้ข้อมูลจริงๆ ตรงนี้ ถ้าถามว่าเหล้าคืออะไร ส่ิงที่ทุกๆคนจะตอบซะส่วนใหญ่ก็คือ เหล้าก็คือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เหล้าก็คือน้ำเมา เหล้าก็คือของไม่ดีที่ผู้ใหญ่เขาดื่มกัน [คำตอบนี้ไม่เห็นด้วยอย่างย่ิง ก็ดื่มกันทั้งบ้านทั้งเมือง มิน่าล่ะ ....] เอาเป็นว่ามันก็ถูก ก็ใช่ทุกคำตอบนะแหละครับ แต่ว่าวันนี้เราจะมาบอกกล่าวเล่าเรื่องเชิงวิชาการกันซักนิดนึงครับผม ไม่เยอะครับ นิดนึง


สุรา ( liquor หรือ spirit) หมายถึง น้ำเมาที่ได้จากการกลั่นสารบางประเภท อาทิ เอทิลแอลกอฮอล์ และเมรัย คือ น้ำเมาที่เกิดจากการหมักหรือแช่ให้เกิดสารบางประเภท เมื่อดื่มแล้วสารนั้นจะออกฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง หากดื่มไม่มากอาจรู้สึกผ่อนคลายเนื่องจากสารกดจิตใต้สำนึกที่คอยควบคุมตนเองทำให้กล้าแสดงออกมากขึ้น แต่เมื่อดื่มมากขึ้นก็จะกดสมองบริเวณอื่น ๆ ทำให้เสียการทรงตัว พูดไม่ชัด จนแม้กระทั่งหมดสติในที่สุด ทั้งสุราและเมรัยเรียกโดยภาษาปากว่า "เหล้า"อันนี้ถูกต้องครับ อย่างที่เราๆ ท่านๆ เข้าใจกันเป็นอย่างดี ทีนี้ลองมาดูแล้วภาษาอื่นๆ ล่ะ เขาจะว่ายังงัย
ประเทศต่าง ๆ ได้วางกฎเกณฑ์สำหรับการผลิต การขาย และการบริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ตัวอย่างเช่น กฎหมายที่กำหนดอายุขั้นต่ำสำหรับผู้ที่สามารถบริโภคได้อย่างถูกกฎหมาย ซึ่งแตกต่างกันในแต่ละประเทศ เช่น อายุไม่ต่ำกว่า 16 ปีสำหรับประเทศเยอรมนี ฝรั่งเศส ออสเตรียและสวิสเซอร์แลนด์, ไม่ต่ำกว่า 20 ปีในประเทศไทย หรือไม่ต่ำกว่า 21 ปีในสหรัฐอเมริกา  
พูดถึงกฎหมายการห้ามดื่มสุราของแต่่ละประเทศ คงไม่มีประเทศไหนดูน่าตลก เท่ากับอเมริกา ครับผม ตลกยังงัยลองคิดตามผมนะครับ อเมริกันชนวัยหนุ่มที่มีอายุครบ 18 ปี สามารถเป็นทหารออกรบได้ และที่ไปตายกันเกลืี่อนที่อิรักนี่ ถ้าตามหลักกฎหมายแล้ว บางคนยังไม่เคยได้มีโอกาสลิ้มรสเมรัยเลยนะ อันนี้ภาษาวงเหล้าจะเรียกว่าเกิดมาเสียชาติเกิดครับผม เพราะว่าไอ้ที่ส่งไปแนวหน้าก็คือทหารเกณท์ใหม่นี่แหละครับผม บางคนอายุยังไม่ 20 เลยก็ตายเสียแล้ว  แต่กฎหมายอเมริกัน ห้ามคนที่อายุยังไม่ถึง 21 ปี ดื่มแอลกอล์ฮอ เพราะเขามีความเชื่อว่าคนที่อายุต่ำกว่านี้ [21 ปี ]ยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ดีพอ ยังแยกแยะอะไรได้ไม่ดี ยังตัดสินใจได้ไม่ดี ยังไม่มีความรับผิดชอบมากพอ แต่ในขณะเดียวกัน พวกคุณกลับสอน เด็กที่อายุ 18 ปีบริบูรณ์ที่คุณบอกว่าเขายังไม่สามารถดื่มแอลกอฮอล์ได้เพราะเหตุผลต่างๆที่คุณว่ามา แต่คุณกลับให้เขาถือปีนออกไปฆ่าคนได้แล้ว อันนี้ค่อนข้างจะผิดหลักการความเป็นจริงไปค่อนข้างมาก ประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลก จะให้เด็กดื่มได้ก่อนแล้วค่อยอนุญาตให้ฆ่าคนได้ [หมายถึงเป็นทหารได้ ไม่งงนะ] มาดูกันต่อครับ
การทำสุราเมรัยนั้นอาศัยยีสต์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กชนิดหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นแอลกอฮอล์ เมรัยผลิตได้จากวัตถุดิบแทบทุกอย่างที่มีน้ำตาล แต่มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เมรัยทำจากน้ำตาลโตนดเรียกว่าน้ำตาลเมา หรือตวาก จากน้ำตาลขององุ่นเรียกว่าไวน์ เป็นต้น มนุษย์ยังรู้จักใช้เชื้อรา (บางชนิด) เปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาลได้ ทุกอย่างที่เป็นแป้ง เช่น ข้าว ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ขาวสาลี  เหล่านี้สามารถใช้ผลิตเมรัยได้ สาโท และ กระแช่ ผลิตจากแป้ง หากต้องการให้มีฤทธิ์แรงขึ้นก็นำเอาไปกลั่นเป็นสุรา หลังจากนั้นสามารถนำไปดื่มหรือนำไปหมักหรือบ่มต่อไปได้อีกเช่นกัน พูดง่ายๆว่าแล้วแต่สูตรใคร 


เหล้าก็อย่างที่เรารู้กันอยู่แล้วว่ามีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบที่สำคัญ แม้ว่าในเหล้าชนิดต่าง ๆ ยังมีสารอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดเอกลักษณ์ของเหล้าชนิดนั้น ๆ โดยเฉพาะเหล้าที่นำมาหมักดองกับสมุนไพรเพื่อปรุงแต่งสี กลิ่น รสชาติและสรรพคุณ เช่น เหล้ายาดอง ของไทย เหล้าเซียงซุน ของจีน เหล้าคัมปารี่ ของอิตาลี เป็นต้น สารปรุงแต่งเหล่านี้เมื่อดื่มในปริมาณมาก หรือ ติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็อาจส่งผลอย่างใดอย่างหนึ่งต่อผู้ดื่มได้ แต่เมื่อดื่มในระยะเฉียบพลัน อาการต่าง ๆ ของผู้ดื่มนับได้ว่าเกิดจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทั้งสิ้น
แอลกอฮอล์เป็นของเหลว ใส ระเหยได้ง่าย ละลายน้ำได้ดี มีกลิ่นเฉพาะตัว และ ติดไฟได้ง่าย แอลกอฮอล์เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่ประกอบไปด้วยคาร์บอน ไฮโดรเจน  และ ออกซีเจ็น มีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง ความรุนแรงของการออกฤทธิ์ขึ้นอยู่กับปริมาณของแอลกอฮอล์ที่มีอยู่ในกระแสโลหิต แอลกอฮอล์ที่กินได้ คือแอลกอฮอล์ชนิดเอทิล ส่วนแอลกอฮอล์ชนิดอื่นล้วนกินไม่ได้และเป็นพิษต่อร่างกายมากยิ่งไปกว่าเอทิล ถ้าเอาแอลกอฮอล์ชนิดอื่น เช่น เมทิลแอลกอฮอล์มาผสมเป็นเหล้า กินเข้าไปแล้วทำให้ปวดหัว ตาพร่า จนบอด และถึงกับเสียชีวิตได้
เมื่อกินเหล้าเข้าไปผ่านกระเพาะอาหารไปสู่ลำใส้เล็ก แอลกอฮอล์ในเหล้าจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิตและกระจายไปทั่วร่างกาย เมื่อกินอาหารมาก่อน แอลกอฮอล์ใช้เวลา 1 ถึง6 ชั่วโมง จึงจะถูกดูดซึมไปถึงระดับสูงสุดในเลือด แต่ถ้ากินเหล้าในขณะที่ท้องว่าง แอลกอฮอล์ใช้เวลาถูกดูดซึมสู่ ระดับสูงสุดในเลือด เพียง 30 นาที ถึง 2 ชั่วโมง แอลกอฮอล์ในร่างกายถูกกำจัดโดยตับเป็นส่วนใหญ่ (95 เปอร์เซ็นต์) ที่เหลือถูกขับออกทางลมหายใจ ปัสสาวะ เหงื่อ อุจจาระ น้ำนม และน้ำลาย
แอลกอฮอล์ทำให้หลอดเลือดขยายตัว เกิดการสูญเสียความร้อนจากร่างกาย แอลกอฮอล์ในปริมาณมากทำลายเยืี่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดอาการอักเสบและเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้ แอลกอฮอล์ยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ผู้ที่กินเหล้าจึงปัสสาวะบ่อย สูญเสียน้ำและรู้สึกกระหายน้ำมากในเวลาต่อมา อีกประการหนึ่ง บรรยากาศวงเหล้า ผนวกกับพลังงานที่ได้จากเหล้ามักทำให้ผู้ดื่มไม่รู้สึกอยากอาหาร ดังนั้นผู้ที่กินเหล้าเป็นนิจจึงอาจขาดสารอาหารได้ ที่สำคัญแอลกอฮอล์ทำให้เกิดความเสียหายที่เนื้อตับ คนกินเหล้าจึงมีโอกาสเป็นตับอักเสบมากกว่าคนไม่กินและอาจพัฒนาไปถึงขั้นตับวายได้
เอาล่ะครับ เอามาฝากกันเล็กๆน้อยๆ ครับ มากกว่านี้เดี๋ยวก็จะเบื่อกันซะก่อน จริงๆแล้วมันเป็นอะไรที่อันตรายมากครับผม แต่ว่ามันกับอยู่กับสังคมไทยและทุกๆที่ทั่วโลกได้อย่างน่าทึ่ง อะไรก็ช่างขอให้ยืนอยู่บนความพอดี รับรองเหล้ามันทำให้คุณแค่สนุกสนานร่าเริงแค่นั้นครับ แต่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราดื่มมันเกินความพอดี อันนี้ก็ตัวใครตัวมันนะครับ 
Drinks Responsibly
ด้วยความปรารถนาดี จาก "คนชงเหล้า"

ขอบคุณบทความดีๆ จาก wikipedia ครับ

วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

แนะนำบล็อค "คนชงเหล้า"

สวัสดีครับ แฟนๆบล็อค "คนชงเหล้า"ทุกๆคน ก่อนอื่นเลยขอทำการแนะนำบล็อคเพิ่มเติมอีกนิดนึง ทั้งสำหรับคนที่ได้เข้ามาอ่านกันแล้วซักพักนึงและสำหรับใครที่พี่งเร่ิมจะเข้ามาอ่าน มาดูกัน สำหรับบล็อค "คนชงเหล้า" นี้ ความตั้งใจของผมเองจะทำให้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับ เครื่องดื่มและการผสมเครื่องดื่ม หรือที่เราๆมักจะเรียกกันว่า Bartender กัน แต่ว่าเนื่องด้วยคำว่า Bartender น้ันมันเป็นอะไรที่ ค่อนข้างจะมีคนใช้คำนี้กันค่อนข้างเยอะ ก็เลยมามองหาคำไทยที่มีความหมายเกี่ยวข้องกับการทำและการผสมเครื่องดื่ม ก็เลยมาเจอคำนี้ เป็นคำที่มีความหมายที่ตรงกับสิ่งที่กำลังอยากทำและอยากสื่อพอดีเลย ก็พูดง่ายๆว่ามันโดนก็เลยได้ใช้ชื่อนี้มาในการเขียนบล็อค และในขณะเดียวกันมันก็เป็นนามแฝงของผู้เขียนเองด้วย เพราะฉนั้นเจอคำว่า "คนชงเหล้า"ที่ไหน เข้าไปอ่านได้เลย
"คนชงเหล้า" นั้นมีอยู่ด้วยกัน 2 ความหมายที่ผมเองต้องการจะสื่อ
ความหมายแรกเลย "คนชงเหล้า" ก็คือแปลแบบตรงๆเลยก็คือว่า เป็นคนชงเหล้า เป็นคนผสมเครื่องดื่ม เป็น Bartender นี่คือความหมายโดยทั่วไป
ความหมายที่สอง ที่ต้องการสื่อคือ "คนชงเหล้า" แต่ว่าใช้การพูดแบบพ้องเสียงเอาว่า "คนชงเล่า" ความหมายที่สองนี้คือ "คนชงเหล้า"อยากเล่าอะไรให้ฟัง ก็คืออยากเขียนบล็อคนี่แหละ นี่แหละก็เลยเป็นที่มาของ "คนชงเหล้า" คือว่าผมเองเป็น Bartender อยู่ [คนชงเหล้า] แต่ว่าอยากจะเล่าอยากจะถ่ายทอดเรื่องราวผ่านบล็อคตรงนี้ แต่ว่าในขณะเดียวกันไอ้การอยากเหล้า [ไม่ใช่ครับ หมายถึงอยากเล่า] คือบอกตรงๆนะครับว่าทำบาร์มา 10 กว่าปีแล้ว ตอนนี้ไม่ดื่มเหล้าครับผม พูดไปก็คงไม่เชื่อ แอลกอฮอล์น่ะก็ยังดื่มอยู่ แต่่ว่าจะไปทางเบียร์กับไวน์มากกว่า แบบว่า ดื่มแบบรักษาสุขภาพครับเพราะว่าเราต้องดื่มมันไปอีกนาน อย่าหักโหมและก็อย่าดื่มเหมือนกับว่าพรุ่งนี้กูจะไม่ได้ดื่มอีกแล้ววันนี้ต้องเอาให้หลับคาโต๊ะ อย่างนั้น คนชงเหล้า ก็ไม่สนับสนุนนะครับ มาเข้าเรื่องกันต่อครับ ไอ้อาการอยากเล่านี่แหละ มันมีเยอะเหลือเกิน ตอนนี้ก็กำลังเขียนบล็อคต่างๆที่ตัวเองพอจะมีความรู้และความสนใจในด้านนั้นๆบ้าง และก็รวมทั้งเรื่องข้อมูลทั่วๆไป มีทั้งที่น่าสนใจสำหรับใครบางคน และก็คงมีทั้งไม่น่าสนใจสำหรับใครบางคน ตอนนี้ที่กำลังเริ่มเขียนและรวบรวมข้อมูลอยู่มีประมาณน่าจะเกิน 10 บล็อค จริงๆมีเยอะกว่านี้ แต่ว่าบางบล็อคนั้นพึ่งจะมีข้อมูลในบล็อคไม่เท่าไหร่เลยยังไม่นับ เอาเฉพาะตัวหลักๆ ประมาณ 10 บล็อคนี้ก็เขียนกันไม่หวาดไม่ไหวแล้วครับ
ทีนี้ก็เลยจะทำให้คนที่ได้ติดตาม หรือว่าบังเอิญเขามาในบล็อคของ "คนชงเหล้า"ได้มีที่ซักที่นึงที่สะดวกในการติดตามบล็อคและข้อมูลต่างๆของ "คนชงเหล้า" ที่ไม่ได้มีแค่ความรู้เกี่ยวกับเครื่องดื่มอย่างที่เข้าใจแค่นั้น มันยังมีอะไร ดีๆ บ้าๆ บวมๆ อีกเยอะที่น่าติดตาม ก็เลยจะพยายามทำบล็อคนี้ให้เป็นศูยน์รวมของคนอ่านบล็อคของ "คนชงเหล้า" ทั้งหมด โดยจะมีหน้าลิงค์ไปยังบล็อคต่างๆของ "คนชงเหล้า"รวมอยู่ในหน้านี้หมด ตอนนี้ขอรวมรวมข้อมูลของบล็อคต่างๆอีกซักระยะนึงให้เป็นรูปเป็นร่างมากว่านี้ แล้วจะได้จัดทำหน้าเชื่อมโยงไปยังบล็อคต่างๆ ในโอกาสต่อไป และถ้าใครที่บังเอิญว่าอ่านแล้วชอบ อ่านแล้วอยากติดตาม ก็จะมีบริการของ Social Network ต่างๆให้ได้ติดตามกันด้วย
เช่น Line, Facebook, Tweeter, Google+ ประมาณนี้ ตอนนี้กำลังเตรียมตัวและเตรียมข้อมูลอยู่ครับ ยังงัยก็ติดตามกันต่อไปนะครับ ตอนนี้ก็พยายามอัปเดทข้อมูลในแต่ละบล็อคให้ได้เกือบทุกวัน ยังงัยก็เข้ามาดูเข้ามาติดตาม "คนชงเหล้า" กันต่อไปครับ แล้วเจอกันครับ

Vodka cocktails

สวัสดีครับผม วันนี้ขอวกกลับมาที่ Vodka กันก่อนอีกนิดนึงก่อนที่จะข้ามไปตัว Top 5 Spirits ตัวที่ 5 กัน Vodka นั้น เป็นเครื่องดื่มที่เป็นที่นิยมกันเป็นอย่างมากเลยก็ว่าได้  และในปัจจุบันนี้ Vodka เองนั้นก็มีหลากหลายรสชาดให้เลือกดื่มเลือกลองกัน ไม่เหมือนเมื่อก่อน คนที่รู้จักกับ Vodka ใหม่ๆ ก็จะคิดว่า Vodka นั้นก็เหมือนกับเหล้าขาวดีๆนี่เอง เพราะว่ามันมีแค่สีเดียวและกลิ่นที่แทบจะไม่มีอะไรให้น่าหลงไหลและลิ้มลองเลย แต่ว่า ณ เวลาปัจจุบันนี้ Vodka เองนั้น มีหลากหลายรูปรส กลิ่น และความนุ่มที่แตกต่างกันไปตามแต่ยี่ห้อ ตามแต่ราคา ส่วนใหญ่แล้ว Vodka จะกลั่นอยู่ที่ประมาณ 3 ครั้งกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ว่าหลังๆมาก็มีหลายๆ ยี่ห้อที่พยายามสร้างความแตกต่างด้วยการกลั่นถึง 5 คร้ัง ก็เป็นการทำให้ Vodka นั้นๆ มีความนุ่มละมุนเพิ่มขึ้น หน่ีงในนั้นก็คือ Grey Goose Vodka และในตอนนี้ได้ข่าวแว่วๆมาว่ามีอีกตัวนึงของ Russia กลั่นถึง 8 ครั้ง มันจะอะไรนักหนา แต่ว่าราคาของมันก็สูงขึ้นไปอีกเกือบ 8 เท่าเหมือนกัน [อันนี้ล้อเล่นนะ คือว่าราคาสูงขึ้นอีกเยอะ]
Vodka นั้นถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องดื่มมากกว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดอื่นเลยก็ว่าได้ และการเพิ่มการเติมอะไรนิดๆ หน่อยๆลงไปใน Vodka ก็ทำให้มันมืชื่อเรียกที่แตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง ลองมาดู Basic Cocktails ที่ทำด้วย Vodka กันซักประมาณ 10 ตัว จริงๆแล้วบอกได้เลยว่ามีเยอะมาก เอาแค่นี้ก่อนเดี๋ยวจะงงกัน
Screwdriver ตัวนี้แค่ Vodka +Orange Juice
Grey Hound ตัวนี้แค่ Vodka+Grapefruit Juice
Salty Dog ตัวนี้แค่ Vodka+Grapefruit+Salt Rim
Blood Mary ตัวนี้แค่ Vodka+Tomato Juice+Celery&Salt Rim
Cape Cod ตัวนี้แค่ Vodka+Cranberry Juice
Madras ตัวนี้แค่ Vodka+Cranberry Juice+Orange Juice
Sea Breeze ตัวนี้แค่ Vodka+Cranberry Juice+Grapefruit Juice
Bay Breeze ตัวนี้แค่ Vodka+Cranberry Juice+Pineapple Juice
Kamikaze ตัวนี้แค่ Vodka+Triple sec+Lime Juice
Black Russian ตัวนี้แค่ Vodka+Kahlua
เห็นมั๋ยครับนี่คือ Cocktails ง่ายๆที่ยังเป็นที่ชื่นชอบของคนโดยทั่วๆไป ไม่มีอะไรพิเศษมากมาย เพียงแค่มี Vodka เป็นส่วนผสมแค่นั้นเอง ว่างๆ ก็ลองมาทำดูกันนะครับ

ชุดนี้หอบหิ้วมาไกลจากแถวๆ Caribbean 

เป็นชุดรวม Absolut มี 5 รุ่น 3 ตัวเป็นแบบปรุ่งแต่งกลิ่น อีก 2 ตัว ขวอสีดำกับสีน้ำเงิน เป็น Vodka ที่ไม่ได้ปรุงแต่งกลิ่น ตัวสีน้ำเงิน
40 % Alc. ตามปรกติ แต่ว่าตัวสีดำนี่ซิตัวแรง 50% Alc.

Absolut Vodka ชื่อนี้การันตี "คนชงเหล้า"ไม่ได้มีอะไรกับ Absolut นะครับ เพียงแต่ชอบการดีไซน์ของขวดแค่นั้น และที่เอามาให้ดูก็คือของที่ผมเก็บไว้อยู่แล้วครับ ไม่มีโฆษณามาแอบแฝง แต่ว่าถ้าอยากให้โฆษณาให้อันนี้ก็ไม่ว่ากันครับ 

Absolut Mandrin รสส้มครับ ตามสีที่ขวดเลย ผสมอะไรดื่มก็โอครับแล้วแต่ชอบ แค่ใส่ Tonic กับส้มซักชิ้นแค่นี้ก็โอแล้ว

Absolut Pears รสลูกแพร์ บอกตรงๆตัวนี้ยังไม่เคยลองเลย  ยังไม่ได้เปิด เพราะถ้าเปิดแล้วเดี๋ยวมันจะหมดเอาง่ายๆ

Absolut Citron กลิ่นมะนาวเหลืองประมาณนั้น ตัวนี้ก็เป็นตัวผสม Cocktails ได้หลายตัวครับ

Absolut 100 นี่คือตัวแรงที่เราพูดถึง 100 หมายถึง 100 Proof  ซึ่งก็คือ 50% Alc. 

นี่ก็อีกหนึ่งชุดสะสม บอกแล้วว่าชอบ Absolut

ชุดนี้ก็ขบวน Vodka  5 ขวด 5 ประเทศ

ตัวนี้ลืมกล่าวถึงเมื่อตอนที่พูดถึง Vodka มันก็คือ SKYY Vodka น้องใหม่จาก U.S.A. ก็ได้รับความนิยมพอสมควรในหมูคน American นะ สำหรับที่อื่น "คนชงเหล้า" ไม่รู้ครับ
ครับผมแล้วยังงัยจะกลับมาต่อ Top 5 Spirits ตัวที่ 5 ในเร็ววันนี้ครับ ยังงัยก็ติดตามบล็อคของ "คนชงเหล้า"กันต่อไปครับอย่างที่รู้ครับไม่ใช่บล็อคนี่แค่นั้น ยังมีอะไรดีๆน่าอ่านหน้าติดตามคอยอยู่อีกเยอะเลยครับ เช่นเคยครับ
Drinks Responsibly
ด้วยความปรารถนาดี จาก "คนชงเหล้า"